
ชีวิตของคนชั้นกลางนั้นอยากเป็นเพียง “คนธรรมดา” ที่ยังต้อง “เป็นตัวเอง” ไปพร้อมกัน
ชายหนุ่มภายใต้อาภรณ์เรียบง่าย เสื้อยืดคอกลม กางเกงยีนส์ กับรองเท้าผ้า ผลักประตูกระจกร้านกาแฟออกมาปะทะสายตากับกลุ่มสาวสวยเฉี่ยวโต๊ะหนึ่ง ก่อนที่พวกเธอจะเชิดหน้าใส่ ชายหนุ่มอมยิ้มในสีหน้า ก่อนจะก้าวไปยังลานจอดรถใกล้ๆ แล้วไขกุญแจเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตคันงาม ก่อนขับออกไป
จากนั้นเสียงเพลง “ง่ายๆ” ของ “เฉลียง” ก็ดังขึ้น :
แต่งตัวสบายตามสไตล์หลวมๆ
หากดูรวมๆ คงจะดูยับๆ
ฉันคนง่าย จะมีแค่ไหนเราแต่งตามที่มี
… … …
แต่งตัวสบายตามสไตล์ยับๆ
จะแปลกอะไรในเมื่อใจไม่ยับ
ฉันคนง่าย แต่เรื่องหัวใจไม่เคยง่ายสักที
เคยได้ยินมุกตลกที่ว่า “คนรวยกับคนจนต่างกันตรงไหน” กันบ้างไหม
คำตอบก็คือ “คนรวยต่างจากคนจนตรงที่ทำตัวเป็นคนจนได้”
คล้ายกับการวิพากษ์แนวคิดชีวิตแบบพอเพียงว่า คนที่อยู่กินแบบพอเพียงได้นั้น คือคนผู้มีอันจะกิน หรือต้อง “พอกิน” เสียก่อน ถึงจะ “พอเพียง” ได้
เช่นเดียวกับ “คนไม่ธรรมดา” อาจปลอมแปลงแสดงตนเป็น “คนธรรมดา” ได้ง่ายกว่า คนธรรมดาที่จะประกาศตัวว่าเป็นคนไม่ธรรมดา
แต่ความธรรมดาสามัญทั่วนั้น ไม่น่าสนใจหรือสะดุดตาใครๆ ได้เลย เพราะมันเหมือนกันไปหมด ไม่มีลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง แต่ความเป็นธรรมดาหรือความเรียบง่ายก็เป็นสไตล์การบริโภคอย่างหนึ่ง สินค้าแบรนด์ดังอย่างเช่น “มูจิ” (Muji) จึงเกิดขึ้น เป็นต้น
เมื่อสถาปนาให้ลูกค้าเป็น “คนธรรมดา” ลูกค้าของคุณจะกลายเป็น “คนพิเศษ” ในทันที เพราะได้สวมใส่ ใช้งาน หรือบริโภคสินค้าของคุณ จนเปลี่ยนความธรรมดาให้ “เป็นตัวเอง” ได้ แตกต่างจากสามัญชนคนธรรมดาอื่นใดที่ไม่ได้ใช้สินค้าของคุณ
รวมทั้ง “คนไม่ธรรมดา” ก็อาจทำตัวเป็นคนง่ายๆ เป็น “คนธรรมดา” คนหนึ่งได้บ้าง ตามอารมณ์แฟนตาซีของตัวเอง
ผู้ใดที่มีสายตาแหลมคม ย่อมมองผ่าน “ความเป็นธรรมดา” เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ที่ “เป็นตัวเอง” ของเขาได้
ภาพจาก : unsplash.com/kimdonkey