นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ความรู้สึกโหยหาธรรรมชาติเป็นสภาวะหนึ่งของร่างกาย โดยเฉพาะในภาวะที่มีความเครียดหรือความกังวลสูง และเมื่อคนเราได้สัมผัส มอง หรือได้ยินเสียงที่เป็นเสียงจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น น้ำไหล นกร้อง คลื่นซัด ลมพัด เสียงหรือบรรยากาศเหล่านี้จะส่งผลให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการพักผ่อน (Relaxation mode) ตามธรรมชาติ และคลายความเครียดหรือความกังวลได้ในที่สุด ครั้งนี้จึงขอแนะนำ 3 สถานที่ผ่านเสียงธรรมชาติเพราะๆ พิเศษเฉพาะผู้อ่าน Humanitas



1. บ้านจ่าโบ จ. แม่ฮ่องสอน
บ้านจ่าโบ เป็นหมู่บ้านของชาวลาหู่ หรือที่รู้จักกันในนาม “มูเซอร์” เป็นหมู่บ้านบนยอดเขาสูง และโด่งดังจากก๋วยเตี๋ยวห้อยขา
แต่ที่เราอยากชวนให้ทำนั่นก็คือ ลองเข้าพักโฮมสเตย์ของชุมชน ทานอาหารท้องถิ่น พักผ่อนให้เต็มที่และตื่นสัก 6 โมงเช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น และนั่งฟังเสียงลมพัดเบาๆ กับเสียงนกร้อง ไก่ขันในยามเช้า จากนั้นสายๆ หน่อยก็เดินเล่นในหมู่บ้าน นั่งจิบกาแฟชมวิว หรือจะทำกิจกรรมเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน เช่น กิจกรรมจักสาน ดูการทอผ้า หรือขอเจ้าของบ้านให้เขาพาไปที่สวนเพื่อดูวิถีชีวิตก็สนุกเช่นกัน
โดยหากได้เดินไปยังสวนของชาวบ้าน จะพบกับทิวเขาใหญ่รายล้อมพื้นที่หมู่บ้าน เสียงตรงนี้จะเป็นเสียงธรรมชาติที่เวิ้งว้าง กว้างใหญ่ มีเสียงสะท้อนของนกร้อง และยานพาหนะในระยะไกลๆ ก็รู้สึกถึงธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ไปอีกแบบ
นอกจากนั้น ยังสามารถขับรถไปยังหมู่บ้านแม่ละนา ที่เป็นชุมชนชาวไทใหญ่ต่อได้ทันที ทั้งสองหมู่บ้านมีวิถีที่แตกต่างกัน แต่อัธยาศัยของคนในชุมชนนั้นน่ารักมากๆ อยากให้ทุกคนได้ลองไปกัน
เสียงธรรมชาติบ้านจ่าโบยามเช้า :
2. จะรัง จ. ปัตตานี
บ้านจะรัง อ. ยะหริ่ง อยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีไปแค่ 30 นาทีเท่านั้น
โดยตำบลนี้มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเรียนรู้ แต่เสียงที่เราสนใจเป็นพิเศษ คือ เสียงธรรมชาติของทุ่งนาที่มีต้นตาลใหญ่ๆ อยู่เต็มพื้นที่ เพราะเป็นเสียงที่บอกถึงวิถีของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
พื้นที่นี้ โดยเฉพาะหมู่ 5 เป็นพื้นที่ที่มีปราชญ์ตาล (คนขึ้นต้นตาล) อยู่หลายบ้าน ซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งที่คอยหล่อเลี้ยงคนในครอบครัวและชุมชน ซึ่งบ้านที่เราไปนั้นเป็นบ้านของ แบสะรีและก๊ะเน๊าะ หนึ่งในปราชญ์ตาลที่สืบทอดภูมิปัญญาการขึ้นต้นตาลและทำผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลสดมามากกว่า 2 ชั่วอายุคน
แบสะรีและก๊ะเน๊าะ มีอาชีพเป็นปราชญ์ตาล หรือผู้เชี่ยวชาญการขึ้นตาลและต้มน้ำตาล
หากได้ลองตามไปดูวิถีนี้ เราจะได้เห็นกระบวนการทำน้ำตาลตั้งแต่ขั้นแรก รวมถึงจะได้ยินเสียงธรรมชาติในหมู่บ้าน ทั้งนก แพะ วัว ลมที่พัดต้นตาลไปมา จนถึงกระบวนการต้มน้ำตาลสด เราก็จะได้ยินเสียงของน้ำตาลที่เดือดในกระทะขนาดใหญ่ และกระบวนการอื่นๆ ที่ก๊ะเน๊าะคอยดูแลน้ำตาลของเธออย่างเอาใจใส่
ภูมิปัญญาเหล่านี้ แม้จะส่งต่อกันมาเรื่อยๆ แต่ทว่าก็มีโอกาสที่จะสูญหายไป เนื่องจากวิชาการขึ้นตาลต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและความต่อเนื่อง ฉะนั้น หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่จังหวัดปัตตานี ลองแวะเวียนไปที่ตำบลจะรัง แล้วลองถามหาบ้านแบสะรีดู หรือจะลองรถขับเที่ยวชมวิถีชีวิตชาวมุสลิม แวะทานข้าวยำและก๋วยเตี๋ยวในตำนานก็ได้เช่นกัน
เสียงธรรมชาติทุ่งนาและต้นตาลยามเช้า : Sound from the Sugar Palm farm in the Southern region of Thailand.
3. อ่าวฉลอง จ. ภูเก็ต
เปลี่ยนบรรยากาศมาที่ทะเลกันบ้าง โดยอ่าวฉลอง อยู่ห่างจากเมืองเก่าภูเก็ตประมาณ 20 นาทีเท่านั้น เป็นที่รู้จักในนามท่าเรืออ่าวฉลองสำหรับนักท่องเที่ยว แต่หากมีโอกาสได้ขับรถไปในละแวกนี้ จะพบว่ามีร้านอาหาร ตลาด และคนท้องที่จับจ่ายใช้สอยกันในช่วงเย็น ให้บรรยากาศที่เป็นกันเองเมื่อเทียบกับความเป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่อย่างภูเก็ต ส่วนตรงท่าฉลองเอง หากมีเวลาเดินเล่นก็จะได้พบกับทิวเขายาวเป็นแนว ด้านหน้ามีน้ำทะเลสีฟ้าใสต้อนรับเราอยู่
เสียงที่ชัดเจนคือเสียงน้ำทะเลที่ซัดเข้าฝั่งตามแรงลม พร้อมกับภาพของเรือประมงพื้นบ้านและเรือท่องเที่ยวจอดเรียงรายและโคลงเคลงไปมาตามแนวคลื่น เหมือนเป็นการจัดวางในภาพวาดสวยๆ ภาพหนึ่ง สำหรับเราแล้ว การเดินทางไปยังอ่าวฉลอง และนั่งชมวิว เก็บบรรยากาศทะเลยามบ่าย ก็ถือว่าเป็นของขวัญง่ายๆ ให้กับชีวิต
เสียงทะเลพัดยามบ่าย ณ ท่าฉลอง :
ฟังเสียงธรรมชาติจากหลากหลายพื้นที่เพิ่มเติม ได้ที่เพลย์ลิสต์นี้ :
ขอบคุณภาพจาก : สาธิตา ธาราทิศ และ ชยุตม์ โล่ธุวาชัย