ในสมัยก่อน กิจกรรมช่วงพักเบรกของพนักงานคือ การเขียนจดหมาย อ่านนิตยสาร ฟังวิทยุและคุยโทรศัพท์ กิจกรรมเหล่านี้เป็นเสมือนคู่มือให้คำแนะนำปัญหาต่างๆ ธำรงความสัมพันธ์กับคนรักและครอบครัว และสร้างเครือข่ายของชุมชนนอกที่ทำงาน 

ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากิจกรรมผ่อนคลายของพนักงานในช่วงพักเบรกระหว่างทำงานคือ การเล่นโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter ฯลฯ 

แต่เราเคยสงสัยกันไหม ในสมัยอดีตคือช่วงทศวรรษ 2500-2530 ยุคสมัยที่ไร้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย พนักงานทำกิจกรรมอะไรในช่วงพักเบรก? และความมุ่งหมายของกิจกรรมเหล่านั้นคืออะไร? 

ในวันที่ 7 มกราคม 2560 มีผู้ใช้ ‘พันทิป’ รายหนึ่ง ตั้งกระทู้ถามพนักงานยุคเบบี้บูมด้วยความสงสัยว่า ‘สมัยก่อนไม่มีอินเทอร์เน็ต พนักงานทำกิจกรรมอะไรในช่วงพักเบรก?’ กระทู้นี้มีผู้คนเข้ามาแสดงความเห็นกันจำนวนมากในทำนองว่า 

“ตอบแล้วห้ามว่าเค้าแก่น๊า 555…เราชอบทำระหว่างว่างงานคืออ่านนิตยสารหรือนิยายค่ะ” 

“ยุคที่เริ่มทำงานปี 2526 (แก่จัง) ไม่มีมือถือ เพิ่งเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้อย่างแพร่หลายตามบริษัท และสถานศึกษา แต่ยังไม่มี net ค่ะ ก็มีนิตยสารที่บริษัทรับประจำ เช่น ‘ลลนา’ ‘ดิฉัน’ และหนังสือพิมพ์ อ่านเวลาว่าง”

“ฟังวิทยุ กรีนเวฟ ชอบฟังพี่ฉอดจัดรายการด้วย อ่านนิยาย เขียนจดหมายหาแฟน”

“อ่านนิตยสาร ฟังวิทยุ เขียนจดหมาย และโทรศัพท์”

การแสดงความเห็นข้างต้นทำให้เราเห็นบรรยากาศที่คนสมัยนี้อาจไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เช่น การเขียนจดหมายหาคนรัก อ่านนิตยสาร ฟังวิทยุ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมือสานความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับเพื่อนร่วมงาน และพนักงานกับคู่รักและครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปตามบริททางเศรษฐกิจและสังคมไทย

นิตยสารที่พนักงานอ่านในเวลาว่างมักมีการจัดวางโครงเรื่องและรูปแบบให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้อ่าน เช่น นิตยสาร “สตรีสาร” “ลลนา” และ “ดิฉัน” ผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศชนชั้นกลางจนถึงชนชั้นสูง เนื้อหาจะประกอบด้วย นวนิยาย เรื่องสั้น ข่าว บทความ งานฝีมือ แฟชั่นเสื้อผ้า ความงาม สุขภาพ และคอลัมน์ถาม-ตอบปัญหาเรื่องการทำงาน ความรัก และอื่นๆ เนื้อหาเหล่านี้เปรียบเสมือนคู่มือที่ช่วยแนะนำทั้งการปฏิบัติตัวในที่ทำงาน แฟชั่นเสื้อผ้าและทรงผม และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเพื่อให้ได้รับความสนใจจากเพศตรงข้าม 

ในทศวรรษ 2500 ผู้หญิงชนชั้นกลางออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยเน้นพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี และสนับสนุนให้บริษัทต่างประเทศมาเปิดกิจการในประเทศ ส่งผลให้เกิดความต้องการพนักงานผู้หญิงเข้าทำงานในตำแหน่งต่างๆ เช่น บัญชีและเลขานุการ ฯลฯ การออกไปทำงานนอกบ้านของผู้หญิงจึงเป็นประสบการณ์ชีวิตใหม่ของพวกเธอ ซึ่งนิตยสารอย่าง “สตรีสาร” “แม่ศรีเรือน” ได้เข้ามาแนะนำแฟชั่นเสื้อผ้าและทรงผมที่ทันสมัยให้หญิงไทยที่มีความกังวลเรื่องการแต่งตัวไปทำงาน เช่น นิตยสาร “แม่ศรีเรือน” แนะนำทรงผมต่างๆ ให้ผู้หญิงทำงาน เช่น ทรงผมมวยสูง เกลียวสูง ผมยาวดัด และดัดลอน เป็นต้น ดังนั้นนิตยสารมีส่วนสำคัญทำให้ทรงผมใหม่ๆ กระจายไปสู่ผู้หญิงที่อ่านนิตยสารเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา การเกิดกระแสสิทธิสตรีและมโนทัศน์ความเป็นสามีแบบใหม่ในสังคมไทย ส่งผลให้เนื้อหานิตยสารไทยไม่ได้เน้นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการแต่งตัวและการปฏิบัติตัวในที่ทำงานของผู้หญิงอีกต่อไป หากเปลี่ยนมานำเสนอเรื่องแนวคิดแฟมิลี่แมนและการเรียกร้องให้สามีช่วยภรรยาทำงานบ้าน ดังนั้นเนื้อหาในนิตยสารที่พนักงานอ่านในช่วงเวลาดังกล่าว กำลังสร้างความเป็นผู้หญิงและผู้ชายแบบใหม่ให้แก่ผู้หญิงและชายไทยอย่างมีนัยสำคัญ 

ในทศวรรษ 2500-2530 พนักงานที่ทำงานอยู่ห่างไกลจากคนรัก การเขียนจดหมายกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการศึกษาดูใจคู่รัก งานศึกษาทางประวัติศาสตร์ของคุณปวีณา กุดแถลง พบว่า ในสมัยนั้นจดหมายรักเป็นสื่อที่จะช่วยสื่อสารความรัก ความจริงใจ และธำรงความสัมพันธ์ของคู่รักไว้ เช่น ‘คุณเมทะนี’ เธอย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ เธอคิดว่าแฟนหนุ่มคงตัดสินใจเลิกกับเธอเพราะห่างไกลกัน แต่แฟนหนุ่มแสดงความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นในความรักด้วยการเขียนจดหมายหาเธออย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าคุณเมทะนีขาดส่งจดหมายให้แฟนหนุ่ม เธอก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่จริงใจ ไม่ได้มุ่งมั่นในความรัก และเธออาจมีรักใหม่แล้วก็ได้ การเขียนจดหมายหาคนรักอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเครื่องมือแสดงถึงความจริงใจในความรักของกันและกัน

การฟังวิทยุหรือคุยโทรศัพท์ของพนักงานเป็นสถานการณ์ใหม่ที่ทำให้เกิดการสร้างเครือข่ายของชุมชนนอกที่ทำงาน ในช่วงทศวรรษ 2530 คำอธิบายเกี่ยวกับวิทยุและโทรศัพท์ที่คนสมัยนั้นมักได้ยินในหน้าหนังสือพิมพ์ก็คือ อุปกรณ์เหล่านั้นเป็นของฟุ่มเฟือยที่มีไว้เพื่อแสดงสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม แต่นักวิชาการในยุคสมัยนั้นมองต่างไป ‘อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์’ และ ‘อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์’ มองว่าวิทยุและโทรศัพท์มือถือก่อให้เกิดชุมชนแบบใหม่ในสังคมเมืองของไทยที่ไม่มีอาณาบริเวณทางภูมิศาสตร์ร่วมกัน และสมาชิกอาจไม่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง (ปัจจุบันอาจรู้จักในชื่อ “สังคมออนไลน์”)

ชุมชนแบบใหม่ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น วิทยุ จส.100 สถานีที่ให้ข้อมูลบอกข่าวเกี่ยวกับการจราจร เราสามารถโทรแจ้งข่าวเกี่ยวกับการจราจรต่างๆ ในกรุงเทพฯ ให้คนอื่นที่ใช้ถนนได้รับรู้ หรือวิทยุรายการกรีนเวฟ และคลับฟรายเดย์ รายการเกี่ยวกับเรื่องเพลง และถาม-ตอบปัญหาหัวใจ ซึ่งคนที่ฟังหรือโทรไปไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ทุกคนมีความสนใจร่วมกัน และการเข้าไปมีส่วนร่วมในวงสนทนาและบอกต่อเรื่องราวนั้น เท่ากับเราได้ทำประโยชน์หรือทำงานให้สังคม 

สำหรับพนักงานในสมัยก่อน จดหมาย นิตยสาร วิทยุ และโทรศัพท์ไร้อินเทอร์เน็ตนั้นสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน คนรักและครอบครัว และเพื่อนนอกที่ทำงาน กิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำเท่านั้น 

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้ ดังนั้นเรายังอยากรู้ว่า “สมัยไม่มีอินเทอร์เน็ต พนักงานในช่วงพักเบรกทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง” เล่าให้พวกเราฟังในใต้คอมเมนต์ได้เลย ก่อนที่ความทรงจำเหล่านั้นจะหายไปจากพวกเรา

ภาพจาก : unsplash

ข้อมูล :

  • นิธิ เอียวศรีวงศ์. หมายเหตุวัฒนธรรมร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์, 2538.
  • ปวีณา กุดแถลง, มโนทัศน์ความเป็นหญิงและความเป็นชายในนิตยสารสตรีสาร พ.ศ. 2491-2539. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2561.
  • วิลลา วิลัยทอง. “โรงเรียนเสริมสวย” “การตลาดความงาม” และ “ผมสวย แบบนำสมัย” ในสังคมไทยยุค “พัฒนา.” ใน ความ(ไม่)เป็นสมัยใหม่ : ความเปลี่ยนแปลงและย้อนแย้งของไทย. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2560.
  • “ถามพนักงานออฟฟิศ สมัยไม่มีอินเตอร์เน็ตแอบทำอะไรกันระหว่างทำงาน” จาก https://pantip.com/topic/36018847

Writer

Related Posts

“ไจเดียว” ไหมพรมและเส้นด้ายย้อมมือที่ไม่มีไจไหนเหมือนกันเลยของ Manos del Uruguay องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ยืนระยะมาถึง 54 ปี

สงครามล้าง “อารยธรรม” (ตอนจบ)

Britney Spears ผนึกกำลัง Elton John ออกผลงานเพลงใหม่ร่วมกัน

ชวนรู้จักอาชีพ Field Recordist หรือนักบันทึกเสียงภาคสนาม

Virtual Influencer ส่งผ่านวัฒนธรรมในโลกจริง สู่การทำเงินใน Digital Economy

เมื่อ “คนนอก” เริ่มเห็นหัวใจของ Sex Worker